วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การทำน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

                                                  การทำน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ







น้ำแตงโม

ส่วนผสม

เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อนคาว) 

น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว) 

เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม (1/5ช้อนชา) 

น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม (10 ช้อนคาว) 

วิธีทำ

นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้ กระหายน้ำ


แหล่งที่มา
http://board.palungjit.com/f83/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-17348.htmlhttp://board.palungjit.com/f83/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-17348.html

วิธีการทําอาหาร

                                                            วิธีการทําอาหาร



วิธีการทำ




เมนูนี้ได้ไอเดียมาจากทอดมันห่อไข่จากรายการพลพรรครักปรุง
เพิ่งทำเลี้ยงแขกไปเมื่อวันอาทิตย์ที่19มิถุนาที่ผ่านมา 
พอดีหนูตาเห็นแล้วสนใจ เลยเอ...คนอื่นก็น่าจะสนด้วยนะ
แต่วันนั้นที่ทำไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ที่เห็นคือมือสมัครเล่นถ่ายไว้ 
แล้วถ้าโอกาสหน้าทำอีกทีจะถ่ายรูปมาลงอีกที...นะ 

เครื่องปรุง

เนื้อปลา 350 กรัม

น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ

ไข่ไก่ 1 ฟอง

กระชายหั่นท่อน 2 แง่ง

ถั่วฝักยาวหั่นบางๆ 100 กรัม

ใบมะกรูดหั่นฝอย 5 ใบ

ซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมันพืชสำหรับทอด 1 ถ้วย

ไข่นกกระทาต้มสุกประมาณ2โหล

หมายเหตุ:ส่วนผสมทั้งหมดไม่จำเป้นต้องแป๊ะตามที่บอก 

กะๆเอาก็ได้ บางทีอาจได้สูตรอร่อยกว่าที่ให้มาก็ได้จริงนะ 

เรามาเริ่มทำกันดีกว่า

วิธีทำ

1. นำเนื้อปลามาล้างน้ำให้สะอาด ซับให้แห้งหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 2 นิ้ว 
ใส่ลงในเครื่องปั่นอาหารและปั่นเนื้อปลาให้ละเอียด

2.ใส่กระชายลงไปในโถปั่นพร้อมน้ำพริกแกงเผ็ด ปั่นให้เข้ากั

3. ตอกไข่ใส่ลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) และน้ำตาลทราย 
แล้วปั่นซักพักให้เข้ากันหรือนวดจนเหนียวดี

4. ใส่ถั่วฝักยาวและใบมะกรูดที่หั่นแล้ว ผสมรวมกับเนื้อปลาให้เข้ากัน 
ขั้นตอนนี้ไม่ต้องปั่นแล้วนะจ๊ะ คนให้เข้ากันก็พอ


  

5. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไป รอจนน้ำมันร้อน 
นำส่วนผสมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะครึ่งมาปั้นใส่ไข่นกกระทาตรงกลางใส่ลงไปทอด 
ทอดแต่ละด้านจนสุกดี ตักขึ้นพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน 



6. จัดทอดมันผ่าครึ่งใส่จาน เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มอาจาด


แหล่งที่มา














วิธีการทําโคมลอย

                                                          วิธีการทําโคมลอย

       

ขั้นตอนการทำ

วิธีทำโคมลอยทำเองแบบง่ายๆ

โคมลอย

เหลาไม้ไผ่ขดเป็นวงกลม ขึงลวดให้ได้เส้นผาศูนย์กลาง46เซ็นติเมตร


-ใช้กระดาษ75*150 หรือ 50*75 ต่อกัน3แผ่น


-พับครึ่งเหลือสันทบประมาณ3เซนติเมตร ทากาวต่อกระดาษ


-พับลงมา20เซ็นติเมตรทำก้นว่าว


-คลี่ออกมาพับเป็นก้นถุง


-ตัดกระดาษขนาด36*36 เซ็นติเมตร ทากาวปิดรอบก้น


-ทากาวที่ไม้แล้วนำกระดาษมาติดเป็นปากโคมลอย


วิธีทำใส้โคมลอย

เตรียมกระดาษทิชชู่ยาวประมาณ1-2เมตร ขดให้เป็นรูปวงกลมนำลวดมามัด ใช้น้ำมันกา๊ดหรือน้ำมันเบนซีนชุบให้พอดี หมาดๆ
ถ้ามากเกินไปใส้จะมีน้ำหนักมากใช้เวลาในการเผาไหม้นานจนกว่าน้ำหนักเชื้อเพลิงเบา


การปล่อยโคมอาจจะเกิดอันตรายได้ ควรศึกษาวิธีปล่อยโคมลอยก่อน
ข้อควรระวัง

1 อย่าปล่อยในขณะที่ลมพัดแรง

2 อย่าปล่อยใกล้เสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า ต้นไม้ และ ตึกสูง

3 อย่าปล่อยใกล้สนามบิน

แหล่งที่มา

วิธีการเลี้ยงปลาทอง

                                                          วิธีการเลี้ยงปลาทอง


วิธีการเลี้ยง

 ปลาทอง เป็นปลาสวยงามอันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง เพราะสวยงามและดูมีชีวิตชีวา แถมชื่อยังเป็นมงคลอีกด้วย นักเลี้ยงปลาทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น จึงเลือกเลี้ยงเจ้าปลาชนิดนี้ไว้ดูเล่นกันเป็นจำนวนมาก 

          แม้ว่าปลาทอง จะเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงไม่ยาก แต่หลายต่อหลายคนก็อกหักจากการเลี้ยงปลาทองมาแล้วไม่น้อย เนื่องจากปลาทองจัดเป็นปลาที่ตายได้ง่าย ๆ หากไม่รู้วิธีการเลี้ยงอย่างถูกต้อง และวันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ ในการเลี้ยงมาฝากกัน

          ก่อนอื่นมาทำความรู้จักปลาทองที่ได้รับความนิยมเลี้ยงในไทย แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์คือ  

          1.ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ มีลักษณะเด่นบริเวณหัว ที่จะมีก้อนเนื้อหุ้มอยู่คล้ายสวมหัวโขน
 
          2.ปลาทองพันธุ์ออรันดา ลำตัวค่อนข้างยาว ครีบหางอ่อนช้อยเป็นพวงสวยงาม

 ภาชนะที่ใช้เลี้ยง

          ในการเลี้ยงปลาทองให้สุขภาพแข็งแรง และมีสีสันสดใส จำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่สถานที่เลี้ยง และภาชนะที่ใช้เลี้ยง โดยทั่วไปนิยมเลี้ยงในตู้กระจกใส และอ่างซีเมนต์ หากเลี้ยงในตู้กระจกควรเลือกขนาดที่มีความจุของน้ำอย่างน้อย 40 ลิตร ใช้เลี้ยงปลาทองได้ 12 ตัว แต่ถ้าเลี้ยงในอ่างซีเมนต์ ต้องคำนึงถึงแสงสว่าง ควรเป็นสถานที่ไม่อับแสง และแสงไม่จ้าจนเกินไป ทั้งนี้ ควรใช้ตาข่ายพรางแสง ประมาณ 60% ปิดปากบ่อ ส่วนสภาพของบ่อเลี้ยงควรสร้างให้ลาดเอียง เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ 
    
 การให้อาหาร

          แนะนำว่าควรให้อาหารสำเร็จรูป วันละ 1-2 ครั้ง โดยการให้แต่ละครั้งไม่ควรมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ปลาทองอ้วน และเสี่ยงตายได้ เนื่องจากปลาทองค่อนข้างกินจุ ดังนั้นอย่าตามใจปากปลาทอง ส่วนอาหารเสริมอย่างลูกน้ำและหนอนแดง สามารถให้เสริมได้โดยดูความอ้วนและความแข็งแรงของตัวปลา ลักษณะปลาที่ตัวใหญ่หรืออ้วน สังเกตได้จากบริเวณโคนหางจะใหญ่แข็งแรงและมีความสมดุลกับตัวปลา และเมื่อมองจากมุมด้านบนจะสังเกตเห็นความกว้างของลำตัวอ้วนหนาและบึกบึน ขณะที่สีบนตัวปลาจะต้องมีสีสดเข้ม 

 คุณภาพของน้ำ

          น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด น้ำประปาที่ใช้เลี้ยงต้องระวังคลอรีน ควรเตรียมน้ำก่อนนำมาใช้เลี้ยงปลาทุกครั้ง โดยเปิดน้ำใส่ถังเปิดฝาวางตากแดดทิ้งไว้เพื่อให้คลอรีนระเหย หรืออาจติดตั้งเครื่องกรองน้ำใช้สารเคมีโซเดียมไธโอซัลเฟตละลายลงในน้ำ มีคุณสมบัติในการกำจัดคลอรีน แต่ควรดูสัดส่วนในการใช้ เพราะสารเคมีพวกนี้มีผลข้างเคียงต่อปลาหากใช้ไม่ถูกวิธี  

 อากาศหรือออกซิเจนในน้ำ 

          ปลาทองส่วนใหญ่เคยชินกับสภาพน้ำที่ต้องมีออกซินเจน ดังนั้น อย่างน้อยในภาชนะเลี้ยงต้องมีการหมุนเวียนเบา ๆ ไม่ว่าจะผ่านระบบกรองน้ำ น้ำพุ น้ำตก หรือปั๊มน้ำ เพราะการหมุนเวียนของน้ำ เป็นการทำให้เกิดการเติมออกซิเจน และปลาทองขนาดใหญ่ย่อมต้องการออกซิเจนมากกว่าปลาเล็ก ส่วนเรื่องอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมคือ 28-35 องศาเซลเซียส แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาอุณหภูมิของน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว หากซื้อปลาบรรจุถุงมา เวลาจะปล่อยปลาลงในอ่างเลี้ยง ควรแช่ถุงลงในอ่างเลี้ยง 10-15 นาที เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำในถุงกับในอ่างถ่ายเทเข้าหากันจนใกล้เคียงกัน แล้วค่อยปล่อยปลาลงไป

          การเลี้ยงปลาทอง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจกับภาชนะเลี้ยง สภาพน้ำ การให้อาหาร และหมั่นสังเกตเจ้าปลาตัวโปรดของคุณอย่างสม่ำเสมอ ก็จะได้ปลาทองสวย ๆ ไว้เชยชมไปนาน ๆ 


แหล่งที่มา


วิธีการปลูกผักสวนครัว

                                                       วิธีการปลูกผักสวนครัว



1. การปลูกผักในแปลงปลูก มีขั้นตอน คือ

1.1 การพรวนดิน ใช้จอบขุดดินลึกประมาณ 6 นิ้ว เพื่อพรวนดินให้มีโครงสร้างดีขึ้น กำจัดวัชพืชในดินกำจัดไข่แมลงหรือโรคพืชที่อยู่ในดิน โดยการพรวนดินและตากทิ้งไว้ประมาณ 7-15 วัน

1.2 การยกแปลง ใช้จอบพรวนยกแปลงสูงประมาณ 4-5 นิ้ว จากผิวดิน โดยมีความกว้างประมาณ 1-1.20 เมตร ส่วนความยาวควรเป็นตามลักษณะของพื้นที่หรืออาจแบ่งเป็นแปลงย่อยๆ ตามความเหมาะสม ความยาวของแปลงนั้นควรอยู่ในแนวทิศเหนือ - ใต้ ทั้งนี้เพื่อให้ผักได้รับแสงแดดทั่วทั้งแปลง

1.3การปรับปรุงเนื้อดินเนื้อดินที่ปลูกผักควรเป็นดินร่วนแต่สภาพ ดินเดิมนั้นอาจจะเป็นดิน ทรายหรือดินเหนียว จำเป็นต้องปรับปรุงให้เนื้อดินดีขึ้นโดยการใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตราประมาณ 2-3 กิโลกรัม ต่อเนื้อที่ 1 ตารางเมตร คลุกเคล้าให้เข้ากัน

1.4การกำหนดหลุมปลูกจะกำหนดภายหลังจากเลือกชนิด ผักต่างๆ แล้วเพราะว่าผักแต่ละชนิดจะใช้ระยะปลูกที่ต่างกัน เช่น พริก ควรใช้ระยะ 75*100 เซนติเมตร ผักบุ้งจะเป็น 5*5 เซนติเมตร เป็นต้น

2.การปลูกผักในภาชนะการปลูกผักในภาชนะควรจะ พิจารณาถึงการหยั่งรากของพืชผักชนิดนั้นๆ พืชผักที่หยั่งรากตื้นสามารถปลูกได้ดีในภาชนะปลูกชนิดต่างๆ และภาชนะชนิดห้อยแขวนที่มีความลึก ไม่เกิน 10 เซนติเมตร คือ
ผักบุ้งจีน คะน้าจีน ผักกาดกวางตุ้ง (เขียวและขาว) ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดหอม ผักกาดขาวชนิดไม่ห่อ (ขาวเล็ก ขาวใหญ่) ตั้งโอ๋ ปวยเล้ง หอมแบ่ง (ต้นหอม) ผักชี ขึ้นฉ่าย ผักโขมจีน กระเทียมใบ (Leek) กุยช่าย กระเทียมหัว ผักชีฝรั่ง บัวบก สะระแหน่ แมงลัก โหระพา (เพาะเมล็ด) กะเพรา (เพาะเมล็ด) พริกขี้หนู ตะไคร้ ชะพลู หอมแดง หอมหัวใหญ่ หัวผักกาดแดง (แรดิช)
วัสดุที่สามารถนำมาทำเป็นภาชนะปลูกอาจดัดแปลงจากสิ่งที่ใช้แล้ว เช่น ยางรถยนต์เก่า กะละมัง ปลอกซีเมนต์ เป็นต้น สำหรับภาชนะแขวนอาจใช้ กาบมะพร้าว กระถาง หรือเปลือกไม้

วิธีการปลูกผักในภาชนะแย่งออกได้เป็น 2 วิธี

2.1 เพาะเมล็ดด้วยการหว่านแล้วถอนแยกหรือหยอดเป็นแถวแล้วถอนแยก ซึ่งพืชที่ควรปลูกด้วยวิธีนี้ ได้แก่

- ผักบุ้งจีน - คะน้าจีน - ผักกาดขาวกวางตุ้ง

- ผักกาดเขียวกวางตุ้ง - ผักฮ่องเต้(กวางตุ้งไต้หวัน)

- ตั้งโอ๋ - ปวยเล้ง - ผักกาดหอม

- ผักโขมจีน - ผักชี - ขึ้นฉ่าย

- โหระพา - กระเทียมใบ - กุยฉ่าย

- หัวผักกาดแดง - กระเพรา - แมงลัก

- ผักชีฝรั่ง - หอมหัวใหญ่

2.2 ปักชำด้วยต้น และหัว ได้แก่

- หอมแบ่ง (หัว) - ผักชีฝรั่ง - กระเทียมหัว (ใช้หัวปลูก)

- หอมแดง (หัว) - บัวบก (ไหล) - ตะไคร้ (ต้น)

- สะระแหน่ (ยอด) - ชะพลู (ต้น) - โหระพา กิ่งอ่อน)

- แมงลัก (กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน)

หมายเหตุ มีบางพืชที่ปลูกด้วยหัว หรือส่วนของต้นก็ได้ปลูกด้วยเมล็ดก็ได้ ดังนั้นจึงมีชื่อผักที่ซ้ำกันทั้งข้อ1และ 2




ผักในภาชนะ
การปฏิบัติดูแลรักษา

การดูแลรักษาด้วยความเอาใจใส่ จะช่วยให้ผักเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์จนถึงระยะเก็บเกี่ยว การดูแลรักษาดังกล่าว ได้แก่

1. การให้น้ำ การปลูกผักจำเป็นต้องให้น้ำเพียงพอ การให้น้ำผักควรรดน้ำในช่วง เช้า- เย็น ไม่ควรรดตอนแดดจัด และรดน้ำแต่พอชุ่มอย่าให้โชก

2. การให้ปุ๋ย มี 2 ระยะคือ

2.1 ใส่รองพื้นคือการใส่เมื่อเวลาเตรียมดิน หรือรองก้นหลุมก่อนปลูก ปุ๋ยที่ใส่ควรเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก คลุกในดินให้ทั่วก่อนปลูกเพื่อปรับโครงสร้างดินให้โปร่งร่วนซุย นอกจากนั้นยังช่วยในการอุ้มน้ำและรักษาความชื้นของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชด้วย

2.2 การใส่ปุ๋ยบำรุง ควรใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อย้ายกล้าไปปลูกจนกล้าตั้งตัวได้แล้ว และใส่ครั้งที่ 2 หลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ การใส่ให้โรยบางๆ ระหว่างแถว ระวังอย่าให้ปุ๋ยอยู่ชิดต้น เพราะจะทำให้ผักตายได้ เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วให้พรวนดินและรดน้ำทันที สูตรปุ๋ยที่ใช้กับพืชผัก ได้แก่ ยูเรีย หรือ แอมโมเนียซัลเฟต สำหรับบำรุงต้นและใบ และปุ๋ยสูตร 15-15-15 และ 12-24-12 สำหรับเร่งการออกดอกและผล

3. การป้องกันกำจัดศัตรูพืช ควรบำรุงรักษาต้นพืชให้แข็งแรงโดยการกำจัดวัชพืช ให้น้ำอย่างเพียงพอและใส่ปุ๋ยตามจำนวนที่กำหนดเพื่อให้ผักเจริญเติบโต แข็งแรง ทนต่อโรคและแมลง หากมีโรคและแมลงระบาดมากควรใช้สารธรรมชาติ หรือใช้วิธีกลต่างๆ ในการป้องกันกำจัด เช่น หนอนต่างๆ ใช้มือจับออก ใช้พริกไทยป่นผสมน้ำฉีดพ่น ใช้น้ำคั้นจากใบหรือเมล็ดสะเดา ถ้าเป็นพวกเพลี้ย เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย และเพลี้ยจั๊กจั่น ให้ใช้น้ำยาล้างจาน 15 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นใต้ใบเวลาเย็น ถ้าเป็นพวกมด หอย และทาก ให้ใช้ปูนขาวโรยบางๆ ลงบริเวณพื้นดิน



การเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวผักควรเก็บในเวลาเช้าจะทำให้ได้ผักสดรสดี และหากยังไม่ได้ใช้ให้ล้างให้สะอาด และนำเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับผักประเภทผลควรเก็บในขณะที่ผลไม่แก่จัด จะได้ผลที่มีรสดีและจะทำให้ผลดก หากปล่อยให้ผลแก่คาต้น ต่อไปจะออกผลน้อยลง
สำหรับในผักใบหลายชนิด เช่นหอมแบ่ง ผักบุ้งจีน คะน้า กะหล่ำปลี การแบ่งเก็บผักที่สดอ่อนหรือโตได้ขนาดแล้ว โดยยังคงเหลือลำต้นและรากไว้ไม่ถอนออกทั้งต้น รากหรือต้นที่เหลืออยู่จะสามารถงอกงามให้ผลได้อีกหลายครั้ง ทั้งนี้จะต้องมีการดูแลรักษาให้น้ำและปุ๋ยอยู่ การปลูกพืชหมุนเวียนสลับชนิดหรือปลูกผักหลายชนิดในแปลงเดียวกัน และปลูกผักที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นบ้างยาวบ้างคละกันในแปลงเดียวกัน หรือปลูกผักชนิดเดียวกันแต่ทยอยปลูกครั้งละ 3-5 ต้น หรือประมาณว่าพอรับประทานได้ในครอบครัวในแต่ละครั้งที่เก็บเกี่ยว ก็จะทำให้ผู้ปลูกมีผักสดเก็บรับประทานได้ทุกวันตลอดปี

การบริโภคผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ

การปลูกผักไว้รับประทานเอง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้บริโภคผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ แต่ทุกครอบครัวคงไม่สามารถปลูกผักทุกชนิดไว้รับประทานเองได้ ดังนั้นการต้องซื้อหาผักจากตลาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ ทั้งนี้ผักต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างก็ได้ ดังนั้นควรมีการล้างผักให้ถูกวิธีและให้ปลอดภัยจากสารพิษมากที่สุด วิธีการล้างผักให้สะอาดเพื่อลดปริมาณสารพิษ สามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกดังนี้

1. ลอกหรือปอกเปลือกแล้วแช่ในน้ำสะอาด นาน 5-10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 27-72

2. แช่น้ำปูนใสนาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 34-52

3. แช่โฮโดรเจนเพอร์ออกไซน์นาน 10 นาที (โฮโดรเจนเพอร์ออกไซน์ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 35-50

4. แช่น้ำด่างทับทิมนาน 10 นาที (ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร ) และล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 35-43

5. ล้างด้วยน้ำไหลจากก๊อกนาน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-39

6. แช่น้ำซาวข้าวนาน 10 นาที และล้างด้วยน้ะสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38

7. แช่น้ำเกลือนาน 10 นาที (เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างด้วยน้ำะสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38

8. แช่น้ำส้มสายชูนาน 10 นาที (น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 27-36

9. แช่น้ำยาล้างผักนาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 22-36



แหล่งที่มา
http://www.ku.ac.th/e-magazine/june44/agri/plant2.html

วิธีการปลูกผักคะน้า

                                                                วิธีการปลูกผักคะน้า

วิธีการปลูก
  วิธีการปลูก        นำเมล็ดที่เตรียมไว้มาหว่านลงบนแปลงปลูกที่เตรียมไว้ กลบด้วย
ดินละเอียดบางๆ และรดน้ำให้ทั่วแปลง แล้วคลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อป้องกันต้นอ่อน
จากแสงแดด และรักษาความชื้นของผิวดิน หรือจะปลูกโดยใช้วิธีโรยเป็นแถวบนแปลงปลูก

การให้น้ำ        ผักคะน้าเป็นผักที่ต้องการน้ำมาก แต่ไม่ชอบน้ำขัง ควรให้น้ำอย่าง
สม่ำเสมอ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ถ้ามีวัชพืชขึ้นในระยะแรกควรกำจัดโดยเร็ว เพราะวัชพืช
เป็นตัวแย่งน้ำและธาตุอาหารของผักคะน้า

การเก็บเกี่ยว  
คะน้าจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 45 - 60 วัน เนื่องจากผักคะน้าสามารถนำทุกส่วนมาบริโภคได้ ดังนั้นจึงควรเก็บโดยถอนด้วยมือให้ใบต้นและรากไม่ขาดออกจากกัน
แต่ก่อนถอนควรรดน้ำบนแปลงให้ดินอ่อนเสียก่อน เพื่อสะดวกในการถอน เมื่อถอนเสร็จแล้ว
นำไปล้างดินออก ตกแต่งโดยเด็ดใบเหลืองใบแห้งทิ้ง

คุณประโยชน์ 
ผักคะน้านิยมนำมาประกอบอาหารหลายอย่าง เช่น ผัดผักคะน้า ข้าวผัด ผัดซีอิ้ว เป็นต้น

แหล่งที่มา
 
 

วิธีการห่อของขวัญ

                                                             วิธีการห่อของขวัญ





วิธีการห่อ
เช่น

การห่อตุ๊กตา

วิธีทำ
  • นำกระดาษมาห่อรอบๆตุ๊กตาจัดแต่งให้สวยงาม
  • นำริบบิ้นสีแดงมาผูกรอบตุ๊กตาเป็นโบว์ให้แน่น
  • นำริบบิ้นสีเขียวมาผูกรอบตุ๊กตาในลักษณะเดียวกันกับริบบิ้นสีแดง - ตัดริบบิ้นลวดสีทองที่มุมด้านหนึ่ง แล้วดึงริบบิ้นลง ค่อยๆม้วนจนเป็นรูปดอกกุหลาบ
  • นำริบบิ้นสีทองที่ม้วนเป็นดอกกุหลาบแล้ว ร้อยเข้ากับริบบิ้นสีเขียว จัดแต่งตามชอบ
  • นำ การ์ดอวยพร มาวางไว้กับตุ๊กตา
  • เท่านี้คุณก็ได้ตุ๊กตาน่ารักในห่อสไตล์เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร

ห่อของขวัญ ห่อของขวัญ
ห่อของขวัญ ห่อของขวัญ

แหล่งที่มา
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D&hl=th&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=kOotUdq_CYfzrQev1IDwBA&ved=0CAcQ_AUoAQ&biw=1024&bih=677#imgrc=1LB6Vv_nlDXENM%3A%3BTVbFXH5WGjPtbM%3Bhttp%253A%252F%252Fakaneshop.com%252Fattachfile%252Fimagepost-20080723-124704.jpg%3Bhttp%253A%252F%252Fwww.akaneshop.com%252Fwebboard-%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B4%2525E0%2525B8%252598%2525E0%2525B8%2525B5%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%252582%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%252587%2525E0%2525B8%252582%2525E0%2525B8%2525A7%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%25258D%2525E0%2525B8%2525AA%2525E0%2525B8%2525B3%2525E0%2525B8%2525AB%2525E0%2525B8%2525A3%2525E0%2525B8%2525B1%2525E0%2525B8%25259A%2525E0%2525B8%252584%2525E0%2525B8%252599%2525E0%2525B8%25259E%2525E0%2525B8%2525B4%2525E0%2525B9%252580%2525E0%2525B8%2525A8%2525E0%2525B8%2525A9%2525E0%2525B9%252584%2525E0%2525B8%2525A1%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%2525A2%2525E0%2525B8%2525B2%2525E0%2525B8%252581%2525E0%2525B8%2525AD%2525E0%2525B8%2525A2%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%2525B2%2525E0%2525B8%252587%2525E0%2525B8%252597%2525E0%2525B8%2525B5%2525E0%2525B9%252588%2525E0%2525B8%252584%2525E0%2525B8%2525B4%2525E0%2525B8%252594%2525E0%2525B8%252588%2525E0%2525B9%252589%2525E0%2525B8%2525B0-1-17828-1.html%3B350%3B265 

เนื้อเพลง กรรมตามสนอง

                                                                                แนะนำเพลงค่ะ  
                                             
     เนื้อเพลง กรรมตามสนอง


ไม่รู้ว่าตอนนี้น้ำตาที่ไหลริน
ต้นเหตุมันมาจากไหน
อาจจะเพราะว่าวันนี้ฉันเองต้องเสียเธอไป
และเธอจะไม่มีวันกลับมา

ก็ในวันนั้นฉันเอง ที่เป็นที่คนทำร้ายเธอ
ทำเธอเจ็บช้ำเสมอ
ไม่เคยจะมองว่าเธอเป็นคนสำคัญ
จนวันนี้ฉันเสียใจ

ไม่มีเธอแล้ว อ้อนวอนแค่ไหน
ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่มีวันย้อนคืน
จบลงตรงนี้ สิ้นแรงขัดขืน
อยากจะย้อนเวลาจากตรงนี้
กลับไปทำให้ดีให้รักของเราฟื้นคืน

หากว่าในวันนั้นเมื่อฉันยังมีเธอข้างกาย
หากว่าฉันใส่ใจกว่านี้
หากว่าฉันได้ดูแลรักเธอให้มากทุกนาที
ในวันนี้ก็คงไม่มีน้ำตา

ก็ในวันนั้นฉันเอง ที่เป็นคนที่ทำร้ายเธอ
ทำเธอเจ็บช้ำเสมอ
ไม่เคยจะมองว่าเธอเป็นคนสำคัญ
จนมาในวันนี้ที่ฉันเสียใจ

ไม่มีเธอแล้ว อ้อนวอนแค่ไหน
ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่มีวันย้อนคืน
จบลงตรงนี้ สิ้นแรงขัดขืน
อยากจะย้อนเวลาจากตรงนี้
กลับไปทำให้ดีให้รักของเราฟื้นคืน

ไม่มีเธอแล้ว อ้อนวอนแค่ไหน
ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่มีวันย้อนคืน
จบลงตรงนี้ สิ้นแรงขัดขืน
อยากจะย้อนเวลาจากตรงนี้
กลับไปทำให้ดีให้รักของเราฟื้นคืน

ไม่มีเธอแล้ว อ้อนวอนแค่ไหน
ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่มีวันย้อนคืน
จบลงตรงนี้ สิ้นแรงขัดขืน
อยากจะย้อนเวลาจากตรงนี้
กลับไปเป็นคนเดิมที่แสนดี
อยากทำให้รักที่ดีของเราฟื้นคืน



แหล่งที่มา

วิธีการทําปุ๋ยหมัก

                                                               วิธีการทําปุ๋ยหมัก



วิธีการทำ

 น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ ปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ ตามแต่จะเรียก เป็นสารละลายเข้มข้นที่ได้จากการหมักเศษพืช หรือสัตว์ กับสารที่ให้ความหวาน จนถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะได้สารละลายเข้มข้นสีน้ำตาล ประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ และสารอินทรีย์หลายชนิด 

          เดิมทีนั้นจุดประสงค์ของการคิดค้น "น้ำหมักชีวภาพ" ขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะ แต่ช่วงหลังก็มีการนำน้ำหมักชีวภาพ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นเช่นกัน คือ

           ด้านการเกษตร น้ำหมักชีวภาพ มีธาตุอาหารสำคัญ ทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม กำมะถัน ฯลฯ จึงสามารถนำไปเป็นปุ๋ย เร่งอัตราการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มคุณภาพของผลผลิตให้ดีขึ้น และยังสามารถใช้ไล่แมลงศัตรูพืชได้ด้วย

           ด้านปศุสัตว์ สามารถช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น น้ำเสียจากฟาร์มสัตว์ได้ ช่วยป้องกันโรคระบาดต่าง ๆ ในสัตว์แทนการให้ยาปฏิชีวนะ ทำให้สัตว์แข็งแรง มีความต้านทานโรค ช่วยกำจัดแมลงวัน ฯลฯ

           ด้านการประมง ช่วยควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยแก้ปัญหาโรคพยาธิในน้ำ  ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กบ จระเข้ได้ ช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อ ช่วยให้เลนไม่เน่าเหม็น สามารถนำไปผสมเป็นปุ๋ยหมักใช้กับพืชต่าง ๆ ได้ดี

           ด้านสิ่งแวดล้อม น้ำหมักชีวภาพ สามารถช่วยบำบัดน้ำเสียจากการเกษตร ปศุสัตว์ การประมง โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่วไป แถมยังช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ การเลี้ยงสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสภาพอากาศที่เสียให้สดชื่น และมีสภาพดีขึ้น

          ประโยชน์ในครัวเรือน เราสามารถนำน้ำหมักชีวภาพ มาใช้ในการซักล้างทำความสะอาด แทนสบู่ ผงซักฟอก แชมพู น้ำยาล้างจาน รวมทั้งใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ โถส้วม ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ได้ด้วย

          เห็นประโยชน์ใช้สอยของ น้ำหมักชีวภาพ มากมายขนาดนี้ ชักอยากลองทำน้ำหมักชีวภาพดูเองแล้วใช่ไหมล่ะ จริง ๆ แล้ว น้ำหมักชีวภาพ มีหลายสูตรตามแต่ที่ผู้คิดค้นขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ กัน วันนี้เราก็มี วิธีทำ น้ำหมักชีวภาพ แบบง่าย ๆ มาฝากกันด้วย





แหล่งที่มา

วิธีการทําปาท่องโก๋

                                                              วิธีการทำปาท่องโก๋


วิธีการทำปาท่องโก๋

สูตร การทำปาท่องโก๋คู่ กรอบ,นุ่ม

ส่วนผสมที่ต้องใช้

1.แป้งสาลี อเนกประสงค์(ตราฮกแดง) 1/2 ก.ก.

2.น้ำสะอาด (3+1/2 ขีด) หรือ 350 กรัม

3.เกลือป่น 1 ช.ต.

4.น้ำตาลทราย 1 ช.ต.

5.แอมโมเนียไบคาร์บอเนทล์ 2 ช.ช.

6.โซดา ไบคาร์บอเนทล์(โซดาเย็น) 1/4 ช.ช.

7.ผงฟู (สูตรดับเบิ้ลฯ) 1 ช.ช.

8.ยีสต์แห้งฯ 1/4 ช.ช.

9.น้ำมันพืชฯ 1 ช.ต.

(สูตรหมักแป้ง 2-3 ชั่วโมง จึงนำมาทอดได้ครับ )

วิธีการทำ

1.เตรียม แป้งสาลี 1/2 ก.ก. + ผสมเข้ากันกับ( โซดา,+ผงฟู,+ยีสต์แห้ง) เข้าด้วยกัน พักใว้

2. ส่วนน้ำ,ใส่ส่วนผสม+เกลื่อป่น+แอมโมเนียฯ+น้ำตาลทราย+น้ำมันพืช ผสมให้เข้ากันคนจนละลาย

3.(ให้นำส่วนของแป้ง,และ ส่วนของน้ำที่เตรียมใว้ นำมาผสมให้เข้ากัน )โดยการคลุกเดล้า หรือการนวดเบาๆ
(ห้ามนวดแป้งแรงเกินไป หรือการขยำแป้งจนออกตามร่องมือ )
ให้ ใช้การผสมแค่พอแป้งกับน้ำเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อแป้งยิ่งหยาบ ยิ่งดีครับ แล้วหมักแป้งทิ้งใว้ 2-3 ชั่วโมง
(นำมาทอดได้ตามขั้นตอน…ให้เราเรียนแบบทำตามที่เราได้เห็นตามร้านขาย ปาท่องโก๋ทั่วๆไป ทำขายกันอยู่
(ทำง่ายๆครับ) หรือ เราจะทอดเป็น รูปร่างอะไรก็ได้ครับ
(ส่วนน้ำมัน ที่เราใช้ทอด ให้ใช้เป็นน้ำมันปามล์ทั่วไป เพราะจะทนความร้อนได้ดีกว่า )
แต่ถ้าจะให้ปาท่องโก๋ออกมาเหลืองสวยโดยทั่วไป ให้เรานำเอาน้ำมันที่ใช้แล้ว มาผสมลงไปด้วย จะทำให้
ปาท่องโก๋เหลืองสวยมากยิ่งขึ้น
สูตร การทำปาท่องโก๋คู่ กรอบ,นุ่ม
ส่วนผสมที่ต้องใช้1.แป้งสาลี อเนกประสงค์(ตราฮกแดง) 1/2 ก.ก.2.น้ำสะอาด (3+1/2 ขีด) หรือ 350 กรัม3.เกลือป่น 1 ช.ต.4.น้ำตาลทราย 1 ช.ต.5.แอมโมเนียไบคาร์บอเนทล์ 2 ช.ช.6.โซดา ไบคาร์บอเนทล์(โซดาเย็น) 1/4 ช.ช.7.ผงฟู (สูตรดับเบิ้ลฯ) 1 ช.ช.8.ยีสต์แห้งฯ 1/4 ช.ช.9.น้ำมันพืชฯ 1 ช.ต.(สูตรหมักแป้ง 2-3 ชั่วโมง จึงนำมาทอดได้ครับ )
วิธีการทำ1.เตรียม แป้งสาลี 1/2 ก.ก. + ผสมเข้ากันกับ( โซดา,+ผงฟู,+ยีสต์แห้ง) เข้าด้วยกัน พักใว้2. ส่วนน้ำ,ใส่ส่วนผสม+เกลื่อป่น+แอมโมเนียฯ+น้ำตาลทราย+น้ำมันพืช ผสมให้เข้ากันคนจนละลาย3.(ให้นำส่วนของแป้ง,และ ส่วนของน้ำที่เตรียมใว้ นำมาผสมให้เข้ากัน )โดยการคลุกเดล้า หรือการนวดเบาๆ(ห้ามนวดแป้งแรงเกินไป หรือการขยำแป้งจนออกตามร่องมือ )ให้ ใช้การผสมแค่พอแป้งกับน้ำเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อแป้งยิ่งหยาบ ยิ่งดีครับ แล้วหมักแป้งทิ้งใว้ 2-3 ชั่วโมง(นำมาทอดได้ตามขั้นตอน…ให้เราเรียนแบบทำตามที่เราได้เห็นตามร้านขาย ปาท่องโก๋ทั่วๆไป ทำขายกันอยู่(ทำง่ายๆครับ) หรือ เราจะทอดเป็น รูปร่างอะไรก็ได้ครับ(ส่วนน้ำมัน ที่เราใช้ทอด ให้ใช้เป็นน้ำมันปามล์ทั่วไป เพราะจะทนความร้อนได้ดีกว่า )แต่ถ้าจะให้ปาท่องโก๋ออกมาเหลืองสวยโดยทั่วไป ให้เรานำเอาน้ำมันที่ใช้แล้ว มาผสมลงไปด้วย จะทำให้ปาท่องโก๋เหลืองสวยมากยิ่งขึ้น

แหล่งที่มา


วิธีการทําวุ้นแฟนซี

                                                             วิธีการทำวุ้นแฟนซี


วิธีการทำวุ้นแฟนซี

วันนี้เป็นวันเกิดของคนใกล้ชิดที่สนิทสนมกันมากคนหนึ่งค่ะ อยากทำของให้ด้วยตัวเองมันเป็นความภูมิใจทั้งคนให้และคนรับ ทำเสร็จจัดใส่กล่องไปให้ที่บริษัทฯ จะได้ตัดแบ่งกันได้ทั่วถึงเพราะชิ้นใหญ่มาก ขนาด 4 ปอนด์
วุ้นแฟนซีนี้ทำง่ายๆค่ะ เพียงเราไปซื้อพิมพ์วุ้นที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนม จะมีให้เลือกหลายแบบหลายขนาด ราคาไม่แพง และก็เตรียมส่วนประกอบในการทำวุ้น ก็มี วุ้นผง น้ำตาลทราย กะทิกล่อง UHT มะพร้าวอ่อน แป้งข้าวโพด และสีผสมอาหาร
ส่วนผสมวุ้นแฟนซีขนาด 4ปอนด์ ชิ้นนี้ประกอบด้วย
ส่วนที่1.สำหรับทำวุ้นใส...ส่วนผสม • วุ้นผงตรานางเงือก AA 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 110 กรัม,น้ำ 500 มิลลิลิตรและใบเตยหอม 1 ใบ(ใส่ลงในวุ้นขณะเคี่ยว)

วิธีทำ

•ผสมทุกอย่างรวมกัน เคี่ยวไฟปานกลางจนวุ้นละลาย ลักษณะใสไม่มีเม็ดๆ

ส่วนที่ 2.สำหรับทำวุ้นกะทิ...ส่วนผสม • วุ้นผงตรานางเงือก AA  3 ช้อนโต๊ะ,น้ำตาลทราย 420 กรัม,น้ำมะพร้าว 1 ลิตร,กะทิกล่อง UHT 500 มิลลิลิตร,น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร,เกลือป่น 2 ½ช้อนชา, แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ และเนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเล็กๆ 300 กรัม(2ผล)

วิธีทำ

1.ผสมวุ้นผง น้ำตาลทราย น้ำมะพร้าว ตั้งไฟเคี่ยวจนเดือด
2.ผสมกะทิ +น้ำเปล่า+แป้งข้าวโพด+เกลือป่น เข้าด้วยกัน แล้วเติมลงในวุ้น(ข้อ1.)ต้มต่อจนเดือด เติมมะพร้าวลงไป ต้มให้เดือดอีกครั้งยกลง


แหล่งที่มา

วิธีการแกะสลักผลไม้

                                                                 วิธีการแกะสลักผลไม้




วิธีการแกะสลักผลไม้

หลักการแกะสลักผักและผลไม้  

                1. การเลือกซื้อผักและผลไม้ ควรเลือกชนิดที่มีความสดใหม่ เพื่อจะช่วยให้ผลงานที่แกะสลัก มีอายุการใช้งานได้นานขึ้น

                2. 
ก่อนนำผักและผลไม้ไปแกะสลัก ควรล้างน้ำให้สะอาด

                3. 
การเลือกมีดแกะสลัก ควรเป็นมีดสแตนเลส หรือมีดทองเหลือง ซึ่งมีดต้องคมมาก เพราะจะทำให้ผักและผลไม้ไม่ช้ำและไม่ดำ

                4. 
การเลือกชนิดของผักและผลไม้แกะสลัก ควรเลือกให้เหมาะกับประโยชน์การนำไปใช้

                5. 
การเลือกรูปแบบหรือลวดลายที่จะแกะควรเลือกให้เหมาะกับการนำไปใช้ประโยชน์

                6. 
การเลือกผัก ผลไม้ตกแต่งอาหารควรเลือกชนิดที่มีสีสวยงาม หลากหลาย เพื่อจะทำให้อาหารน่ารับประทานขึ้น

                7. 
การแกะสลักต้องพยายามรักษาคุณค่าอาหาร โดยไม่ควรแช่น้ำนานเกินไป
  


      การจับมีดแกะสลักผักและผลไม้

                วิธีการจับมีดแกะสลักนั้น มีความสำคัญต่อชิ้นงานที่แกะสลักมาก  การจับมีดแกะสลักที่ถูกต้อง จะทำให้ปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย และเพื่อความรวดเร็วในการทำงาน ผลงานที่ได้ก็จะมีความประณีต สวยงาม  การจับมีดแกะสลักมีวิธีการ ดังนี้

                 1.  การจับมีดแกะสลักแบบการหั่นผัก

   

                      การจับมีดแบบหั่นผัก มือขวาจับมีด นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนสันมีด ในลักษณะสบาย ๆ อย่าให้แน่นเกินไป ไม่ต้องเกร็งมือ ใช้มือซ้ายจับวัสดุที่แกะสลักโดยให้นิ้วชี้มือซ้ายวางอยู่บนงานที่แกะสลัก ใช้นิ้วชี้มือขวากดสันมีด นิ้วหัวแม่มือขวาคอยประคองด้ามมีดไว้ ส่วนอีก 3 นิ้ว จับด้ามมีดไว้


                 2.  การจับมีดแบบดินสอ
         


                      การจับมีดแบบดินสอ  มือขวาจับด้ามมีดโดยให้นิ้วชี้กดสันมีดไว้ เหลือปลายมีด ประมาณ 2 – 3 เซนติเมตร นิ้วที่เหลือแตะอยู่บนงานที่แกะสลัก มือซ้ายจับงานแกะสลักตามลักษณะของงาน



แหล่งที่มา

https://www.google.co.th/#hl=th&gs_rn=4&gs_ri=psy-ab&tok=stboFWwiD1mTjxSYXdfBVg&cp=10&gs_id=1b&xhr=t&q=%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89&es_nrs=true&pf=p&output=search&sclient=psy-ab&oq=%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%B0&gs_l=&pbx=1&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_cp.r_qf.&bvm=bv.42965579,d.bmk&fp=f96a13b37aa3c8c3&biw=1024&bih=677